• Home
  • Lens&knowledge
  • เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนแสงแดดจ้ากว่าฤดูอื่นๆ ส่งผลให้ท่านรู้สึกตาสู้แสงจ้าไม่ไหวหรือไม่
เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนแสงแดดจ้ากว่าฤดูอื่นๆ ส่งผลให้ท่านรู้สึกตาสู้แสงจ้าไม่ไหวหรือไม่

เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนแสงแดดจ้ากว่าฤดูอื่นๆ ส่งผลให้ท่านรู้สึกตาสู้แสงจ้าไม่ไหวหรือไม่

16 มี.ค. 2568   ผู้เข้าชม 6

ในทุกๆวันเมื่อแสงที่กระทบกับดวงตาไม่เพียงแต่ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ แต่ยังมีประโยชน์หลายด้านที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของดวงตาและร่างกายโดยรวมค่ะ

อย่างเช่น เราต้องการแสงเพื่อลำเลียงภาพจากวัตถุไปยังเรตินาหรือจอรับภาพในตาส่งข้อมูลไปยังสมองเพื่อแปลความหมาย, การควบคุมวงจรนาฬิกาชีวภาพ (circadian rhythm) ของร่างกาย, แสงธรรมชาติช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเซโรโทนินในสมองการได้รับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นและมีพลังงานมากขึ้น ทำให้สมองสามารถทำงานได้ดีขึ้น เป็นต้นค่ะ

หากการเจอแสงจ้าเกินไปสามารถทำให้เกิดอาการ แสบตา หรือ ระคายเคือง ที่ดวงตาได้ ซึ่งเกิดจากการที่แสงที่มีความเข้มข้นสูงเกินไปกระทบกับดวงตาในระยะเวลานาน ทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแสงที่จ้าเกินไป อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแสบตาได้ค่ะ

☀️ อาการดวงตาแพ้แสง (Photophobia) ☀️

เป็นอาการที่ทำให้ผู้ที่มีอาการนี้รู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดเมื่อเจอแสงสว่าง โดยเฉพาะแสงจ้า เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากจอคอมพิวเตอร์ หรือแสงจากไฟนีออน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตาปวด ตาแห้ง หรือมีอาการระคายเคืองในดวงตา

✅ ผลกระทบต่อดวงตา:

  1. ความรู้สึกไม่สบาย : แสงจ้าที่เข้ามาสัมผัสกับดวงตาอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะร่วมด้วยได้

  2. ทำให้การมองเห็นลดลง : การแพ้แสงอาจทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในสภาพแสงที่มีความเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น แสงจากสภาพอากาศที่มีแสงจ้าในบางช่วงเวลา

  3. การระคายเคือง : บางคนอาจมีอาการตาแห้ง ระคายเคือง หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา

  4. ส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรม : อาการแพ้แสงอาจทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้อย่างสะดวก เช่น การขับรถในช่วงกลางวันหรือการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

✅ แนวทางการแก้ไขโดยใช้เลนส์กรองแสง :

การใช้เลนส์กรองแสง (Light Filtering Lenses) เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบจากแสงจ้า โดยเลนส์เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อกรองแสงบางประเภทที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือความไม่สบายให้กับดวงตา เช่น แสงยูวีหรือแสงสีน้ำเงินที่มีอยู่ในแสงธรรมชาติและจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์

  1. ลดการสะท้อนของแสง : เลนส์กรองแสงช่วยลดการสะท้อนของแสงจ้าจากพื้นผิวต่างๆ ช่วยให้ตาสบายขึ้นและมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

  2. ป้องกันแสง UV : เลนส์กรองแสงช่วยป้องกันแสงยูวีที่มีผลเสียต่อดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก หรือความเสื่อมสภาพของจอตา

  3. ช่วยในการลดอาการระคายเคือง : เลนส์กรองแสงสามารถช่วยลดการระคายเคืองจากแสงจ้าหรือแสงสว่างที่มากเกินไป โดยการกรองแสงที่มีความถี่สูง ซึ่งจะช่วยให้การมองเห็นสบายขึ้น

การเลือกใช้เลนส์กรองแสงที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาการแพ้แสง เช่น การขับรถ การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือการเดินออกไปข้างนอกในช่วงที่แสงแดดจ้าค่ะ


Lens&knowledgeที่เกี่ยวข้อง

ปัจจัยสาเหตุที่คาดว่าก่อให้เกิดอาการสายตาสั้นในเด็ก
13 มี.ค. 2566

ปัจจัยสาเหตุที่คาดว่าก่อให้เกิดอาการสายตาสั้นในเด็ก

  ปัจจัยสาเหตุที่คาดว่าก่อให้เกิดอาการสายตาสั้นในเด็ก ปัจจัยทางกรรมพันธ์ุ  จากงานวิจัย พบว่าในกลุ่มเด็กที่มีผู้ปกครองสายตาสั้น ทั้งพ่อและแม่ของเด็ก ส่งผลให้เด็กมีโอกาสสายตาสั้นถึงร้อยละ 40  แต่หากพ่อหรือแม่ของเด็กมีภาวะสายตาสั้น จะส่งผลให้เด็กมีโอกาสสายตาสั้นที่ร้อยละ 20 และหากพ่อและแม่ที่ไม่มีภาวะสายตาสั้น อาจส่งผลให้เด็กมีโอกาสสายตาสั้นที่ร้อยละ 10 ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม จากการศึกษ
นักทัศนมาตร หรือ หมอสายตา (Optometrist)
09 ก.พ. 2568

นักทัศนมาตร หรือ หมอสายตา (Optometrist)

นักทัศนมาตร หรือ หมอสายตา (Optometry) คือ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสายตาและระบบการมองเห็นของมนุษย์มีความเชี่ยวชาญในการตรวจวัดสายตา และสุขภาพตาเบื้องต้น พร้อมให้คำปรึกษา และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสายตารักษาเกี่ยวกับปัญหาด้านสายตาและความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาโดยใช้อุปกรณ์ เช่น แว่นตา คอนแทคเลนส์ และปริซึม ในการแก้ไขปัญหาสายตา ไม่รวมถึงการรักษาโดยการจ่ายยา และการผ่าตัดค่ะในประเทศไทยเป็นหลักสูตรป
ฝุ่น PM 2.5 ภัยใกล้ดวงตา
14 มี.ค. 2567

ฝุ่น PM 2.5 ภัยใกล้ดวงตา

ในช่วงประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ปัญหา PM 2.5 นี้เริ่มรุนแรงขึ้นมาในประเทศไทยและยังคงเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ร้านแว่นตามุลเลอร์ นำเนื้อหาเกี่ยวกับ PM 2.5 กับดวงตาเรามาฝากกันเจ้าหน่วยงานป้องกันสิ่งแวดล้อม ประเทศสหรัฐอเมริกา US. EPA (United State Environmental Protection Agency) ได้ทำการกำหนดค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์เอาไว้โดยใช้ค่า PM (Particulate Matter